วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมที่ ๑๓

โรงเรียน เป็น ชีวิตของเด็ก ครู และผู้บริหาร
"ห้องเรียน คือ ชีวิตของเด็กและการทำงานของครู"
"ห้องเรียนคุณภาพ น่าจะเป็นสื่อที่ดี ที่จะสะท้อนไปยังนักเรียน ครู และผู้บริหาร"
จุดเน้นสำคัญของแนวคิด ห้องเรียนคุณภาพคือ
๑. มุ่งนำการเปลี่ยนแปลงสู่ห้องเรียน : จะต้องเปลี่ยน/ ยกระดับคุณภาพของผู้เรียน ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ชัดเจน(ผลสัมฤทธิ์ตามหลักสูตร จะต้องเกิด การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น)คุณภาพการศึกษาอยู่ในระดับที่ไม่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพผู้จบการศึกษาภาคบังคับและปัจจุบันยังมีความมุ่งเน้นจะพัฒนา คุณภาพมาตรฐาน โดยสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาแก่สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ในระดับปฏิบัติ คือระดับห้องเรียน โรงเรียนบ้านคลองหมากนัดได้เล็งเห็นความสำคัญของห้องเรียนคุณภาพ โดยให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจและทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับห้องเรียนคุณภาพ                                                               ๒. ให้ความสำคัญกับออกแบบการจัดการเรียนรู้อิงมาตรฐาน
                - คณะครูได้วัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพและ ประเมินตามสภาพจริง
๓. วิจัยในชั้นเรียน (CAR) : ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมกับธรรมชาติ ของผู้เรียนหรือเนื้อหาวิชา เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
                - ครูโรงเรียนบ้านวังปืนทุกคนนำปัญหาในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนมาจัดทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นตามลำดับ  โดยทำวิจัยใน ชั้นเรียนภาคเรียนละ ๑เรื่อง
๔.ใช้ ICT เพื่อการสอนและสนับสนุนการสอน
                - ผู้บริหารสถานศึกษาได้จัดหา เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมเครื่องปริ้นเตอร์และ เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ต  และโทรทัศน์พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี   มาติดตั้งประจำห้องเรียน ทุกห้อง เพื่อให้นักเรียนและครูร่วมกันจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
๕.สร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline): เน้นการ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมหรือคุณลักษณะ ด้วยกระบวนการเสริมแรงเชิงบวก
                -  คณะครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรมโดยบูรณาการ ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในห้องเรียนและได้พานักเรียนไปร่วมกิจกรรมวันสำคัญทางศาสนาเช่น วันวิสาขบูชา  วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา  วันแม่แห่งชาติ ฯลฯและการเข้าค่ายคุณธรรมจริยธรรม เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จริงด้วยตนเองนอกเหนือจากให้องเรียน



กิจกรรมที่ ๑๒

กจิกรรมที่ ๑๑

               ปัจจุบันการศึกษาเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและสำคัญที่สุดของมนุษย์  เพราะการศึกษามีบทบาทต่อการพัฒนา  ความมั่นคง  ความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นอันมาก  การพัฒนาคุณภาพของมนุษย์และการสร้างพลังในการพัฒนาประเทศ  ดังนั้นการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะต้องพัฒนามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทุกๆด้าน   ได้แก่ ร่างกาย  จิตใจ  สติปัญญา  สังคม  และมีคุณธรรม  มีความรู้  จริยธรรมและมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข การจัดการศึกษาในปัจจุบันจึงต้องเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องตลออดชีวิต
              การจัดการศึกษาให้ผู้เรียนมี  ความรู้คู่คุณธรรม  ผู้เรียนมีคุณธรรม  จริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์    สังเคราะห์  และมีวิสัยทัศน์ที่ดีกว้างไกล  ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงมีความจำเป็นและเป็นหน้าที่ที่สำคัญของโรงเรียนที่ต้องจัดการศึกษามีการส่งเสริม  และสนับสนุนให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  และมาตรฐานด้านปัจจัยกำหนดให้ครูมีความสามารถในการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หลักการที่สำคัญในการจัดการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีดังนี
 .เป็นกระบวนการที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองและมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนและรู้จักรับผิดชอบด้วยตนเอง
.มีการเรียนรู้  หรือศึกษาการเรียนรู้ได้จากแหล่งต่าง ๆ  มากมายไม่ใช่ศึกษาหาความรู้จากแหล่งเดียว  หรือเพียงให้องเรียนเท่านั้น
.เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ค้นพบด้วยตนเอง
.เป็นกระบวนการที่มีส่วนช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
.เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญต่อการเรียนของผู้เรียน
.ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับชีวิตจริงของแต่ละบุคคลจากหลักการดังกล่าวจะนำไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมและเป็นผุ้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างมีความสุขโดยครูผู้สอนต้องลดบทบาทและปรับเปลี่ยนกระบวนการของตนจากการเป็นผู้บอกความรู้ให้แก่ผู้เรียนมาเป็นผู้สนับสนุน  ผู้ชี้แนะ  ที่ปรึกษาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนมากที่สุดตามศักยภาพของแต่ละบุคคล จัดประสบการณ์ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนใฝ่รู้  ใฝ่เรียน  ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง  โดยมีครูและนักเรียนร่วมกันบอกแหล่งความรู้
                การพัฒนา  ความมั่นคง  ความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นอันมาก  การพัฒนาคุณภาพของมนุษย์และการสร้างพลังในการพัฒนาประเทศ  ดังนั้นการจัดการศึกษาในยุคปัจจุบันจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากที่จะต้องพัฒนามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในทุกๆด้าน   ได้แก่ ร่างกาย  จิตใจ  สติปัญญา  สังคม  และมีคุณธรรม  มีความรู้  จริยธรรมและมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข  การจัดการศึกษาในปัจจุบันจึงต้องเป็นการศึกษาที่ต่อเนื่องตลออดชีวิต
 
แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ท๐๓๑๑๐๑                                                              ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๗
หน่วยที่ ๒ หลักภาษาเบื้องต้น             ๑๕ ชั่วโมง แผนที่ ๑ เสียงในภาษา                                                  เวลา 3 ชั่วโมง
………………………………………………………………………………………………………………………………................           สาระสำคัญ
                 เสียงในภาษาไทยประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์ เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานของการเรียนหลักภาษาไทย เมื่อนักเรียนมีความรู้ความเข้าในเรื่องดีแล้วจะทำ ให้นักเรียนเขียนสะกดคำ ถูกต้อง และสามารถนำ ความรู้นี้ไปเรียนรู้เรื่องพยางค์ คำ ประโยคในระดับสูงได้
 ผลการเรียนรู้
                นักเรียนจำแนกประเภทของเสียงสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์ได้
 เนื้อหา
                เสียงในภาษา เสียงในสระ เสียงพยัญชนะ และเสียงวรรณยุกต์
 กระบวนการจัดการเรียนรู้
คาบที่ ๑-
·        กิจกรรมเตรียมความพร้อม ให้นักเรียนยืนเป็นวงกลม บอกอักษรไทยตั้ง แต่ กฮ คนละ ๑ ตัว
ในเวลารวดเร็ว ใครบอกช้าหรือบอกซํ้ากับเพื่อน ตาย รอบต่อไปบอกเสียงสระคนละ ๑ ตัว
ปรบมือให้กับผู้ทีสามารถทำ ได้ถูกต้อง
·        ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
·        ครูตรวจสอบความรู้พื้นฐานของนักเรียนโดยถามความรู้พื้นฐานในประเด็นต่อไปนี
                        อักษรไทยมีกี่รูปกี่เสียง
                               สระแท้มีกี่เสียง
                               จงยกตัวอย่างสระแท้เสียงสั้น
                               จงยกตัวอย่างสระแท้เสียงยาว
                               จงบอกเสียงวรรณยุกต์ของชื่อเล่นของตัวเอง
·        นักเรียนเลื่อนโต๊ะเรียนออกให้เหลือพื้นที่ว่างตรงกลาง นักเรียนนั่งล้อมวงเป็นวงกลมโดยเรียงลำ ดับเลขที่ ๑-๒๕ นำอุปกรณ์การเรียนเช่น ปากกา ไม้บรรทัด ยางลบไว้ด้านหน้า คนละ ๓ ชิ้น
·        .นักเรียนอ่านทำ ความเข้าใจเรื่อง เสียงสระแท้ ๑๘ เสียง ๙ คู่ และสระประสม ๓ เสียง ในเวลา ๑๐ นาที
·        ครูอธิบายเรื่องเสียงในภาษาไทย ประกอบด้วย ๓ เสียง คือเสียงพยัญชนะ สระ(สระแท้ สระประสม) และวรรณยุกต์
·        นักเรียนบอกเสียงของสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ในลักษณะต่อไปนี้
                บอกเสียงสระแท้ คนละ 1 ตัว เมื่อสระแท้หมดคนต่อไปให้บอกเสียงสระประสม
                                บอกเสียงพยัญชนะ ก ข ง จ ช ซ - ฮ ตามลำ ดับ
                                บอกเสียงวรรณยุกต์ของชื่อเล่นตนเอง
นักเรียนคนใดตอบผิด 1 ครั้ง นำ อุปกรณ์ของตนเองมาวางไว้กลางวง เมื่อถามครบประเด็น ให้ นักเรียนนับ
อุปกรณ์ของตัวเอง ใครเหลืออุปกรณ์ครบเป็นผู้ชนะ
·        ครูสังเกตการตอบของนักเรียนบันทึกนักเรียนที่ตอบไม่ได้ อธิบายให้ความรู้
คาบที่ ๓
·        นักเรียนแสดงความรู้เดิมเรื่องรูปและเสียงของวรรณยุกต์ โดยให้นักเรียนอาสาพูดอธิบายความรู้เรื่องเสียงของ
วรรณยุกต์ตามที่ตนเองเคยเรียนหรือเคยรู้มา เช่น
                        วรรณยุกต์มี ๔ รูป ๕ เสียง
                        อักษรกลางคำ เป็นผันได้ครบ ๕ เสียง
                        คำ ตายทุกคำ ไม่มีเสียงสามัญ
                        อักษรตํ่าคำ ตายเสียงสั้นพื้นเสียงเป็นเสียงตรี
·        ครูอธิบายให้นักเรียนสังเกตเห็นหลักการผันวรรณยุกต์ของอักษร ๓ หมู่
·        นักเรียนยืนเป็นวงกลมผันเสียงวรรณยุกต์ชื่อเล่นของตนเอง แล้วบอกครูเรียงตามลำ ดับ ครูสังเกตว่ามีนักเรียนคน
ไหนบ้างที่ผันชื่อเล่นตัวเองไม่ได้
·        นักเรียนสังเกตเสียงวรรณยุกต์ในชื่อจริงของนักเรียนเอง แล้วให้วิ่งเข้ากลุ่มเสียงที่ครูบอก เช่น
                           ใครมีชื่อเสียงสามัญออกมา (ให้นักเรียนบอกคำ ที่เป็นเสียงสามัญ)
                           ใครมีชื่อเสียงเอกออกมา (ให้นักเรียนบอกคำ ที่เป็นเสียงเอก)
                           ใครมีชื่อเสียงโทออกมา (ให้นักเรียนบอกคำ ที่เป็นเสียงโท)
                           ใครมีชื่อเสียงตรีออกมา (ให้นักเรียนบอกคำ ที่เป็นเสียงตรี)
                           ใครมีชื่อเสียงจัตวาออกมา (ให้นักเรียนบอกคำ ที่เป็นเสียงจัตวา)
·        ครูสังเกตและบันทึกข้อมูล
·        ครูอธิบายให้ความรู้เรื่อง รูป เสียง และหลักการผันวรรณยุกต์ให้นักเรียนฟัง
·        นักเรียนร่วมร้องเพลงและบอกเสียงวรรณยุกต์ของคำ ในเนื้อเพลง
·        แบ่งนักเรียนเป็น ๒ กลุ่ม แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาแข่งขันบอกเสียงวรรณยุกต์ เมื่อครูเอ่ยคำ ใดออกมาให้นักเรียน
                ตัวแทนบอกเสียงวรรณยุกต์ในเวลาที่รวดเร็ว ใครบอกก่อนได้ ๑ แต้ม พร้อมกับให้เรียกชื่อเพื่อนที่สมาชิกของอีกกลุ่ม
หนึ่งมาเป็นเชลย สมาชิกของใครหมดก่อนเป็นฝ่ายแพ้
·        ทุกคนร่วมกันปรบมือให้กับกลุ่มที่ชนะ
·        นักเรียนสรุปความรู้เรื่องเสียงในภาษาจดลงสมุด                                                                                                    คุณลักษณะอันพึงประสงค์
ความรับผิดชอบ ตรงต่อเวลา ความตั้งใจในการทำ ผลงาน
 การวัดและประเมินผล
สังเกตความสามารถในการตอบคำ ถาม ความสามารถในการยกตัวอย่าง ความสามารถในการผันวรรณยุกต์
สื่อและแหล่งเรียนรู้ แบบเรียน ครู เพลง รักเธอที่หน้าประตู
กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………
บันทึกหลังสอน
…………………………………………………………………………………………………………………
 ความเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
รายการความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ มากที่สุด

รายการความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้
มากที่สุด ๕
มาก ๔
ปานกลาง ๓
น้อย ๒
น้อยที่สุด ๑
๑.ความรู้ที่ได้รับ






๒.ความพึงใจในผลงานของนักเรียน






๓.ความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้








อุปสรรคปัญหา/ข้อเสนอแนะ
……………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………
ความเห็นของผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………….............

กิจกรรมที่ ๑๐

ให้นักศึกษาได้ศึกษาเหตุการณ์ในประเด็นต่อไปนี้
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศไทยให้นักศึกษาอ่านและศึกษาข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ Internet  Bolg ต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นสรุปวิเคราะห์สังเคราะห์ ลงในบล็อกของนักศึกษาในกิจกรรมที่10
กรณีเขาพระวิหารจังหวัดศรีสะเกษ   
ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหารในสมัยปัจจุบันคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ ๑๑ ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๒ ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อีสาน) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และได้ทรงจารึกปี ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี เป็นข้อความว่า "๑๑๘ สรรพสิทธิ" ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๔๗ ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยมีความตามมาตรา ๑ ของสนธิสัญญา ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๑ ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม ๕๐ ชุด แต่ละชุดมี ๑๑ แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ "แผ่นดงรัก" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดัง กล่าว
ต่อมาในปี พ.ศ.  ๒๔๘๓ ประเทศฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อประเทศเยอรมนี ทำให้แสนยานุภาพทางทหารลดลง จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ ๕ คืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสปฏิเสธและมีการเคลื่อนไหวทางทหาร ที่ทำให้เกิด สงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ประเทศไทยได้รับชัยชนะในการรบตลอด ๒๒ วัน กระทั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเสนอตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย และฝรั่งเศสได้ตกลงคืน จังหวัดไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และ พระตะบองให้กับไทย ตาม อนุสัญญาโตเกียว ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์ ต่อมาเกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลไทยประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ประเทศไทยต้องรักษาสถานะตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่นและต้องการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ จึงตกลงคืนดินแดน ๔ จังหวัดให้ฝรั่งเศส ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับไปอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อมาในปี         พ.ศ. ๒๔๙๗ ฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อเวียดนามที่เดียนเบียนฟู ต้องถอนทหารออกจากอินโดจีน ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา และไทยได้ส่งทหารเข้าไปรักษาการบริเวณปราสาทพระวิหารอีกครั้ง
ภาย หลังกัมพูชาได้รับเอกราช เจ้านโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๑ และในปีต่อมา เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะรวม ๑๓ คน เป็นทนายฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชามีนายดีน แอจิสัน เนติบัณฑิตแห่งศาลสูงสุด อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าคณะ กับพวกอีกรวม ๙ คน
กระทั่งวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเสียง ๙ ต่อ ๓ และในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว ๒๐ วัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก และสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต ทั้งนี้คำตัดสินของศาลโลกนั้นเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการอุทธรณ์ การจะนำคดีกลับขึ้นมาพิจารณาใหม่นั้นสามารถทำได้ถ้ามีหลักฐานใหม่และต้องทำ ภายในสิบปี หลังจากนั้นไม่นาน กัมพูชาเกิด สงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศ ปราสาทหินแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเพียงช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่ปีต่อมาก็ถูก เขมรแดงเข้าครอบครอง จากนั้นก็เปิดอีกครั้งจากฝั่งประเทศไทยเมื่อปลายปีพ.ศ.๒๕๔๑
๒. กรณีพื้นที่ชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์  จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสระแก้ว ตราด เกาะกรูด ทะเลในอ่าวไทย
เพราะ นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกและคนเดียวที่เพิกถอนหนังสือ เดินทางทุกประเภทของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ติดต่อทางการทูตกับหลายประเทศเพื่อให้ความร่วมมือในการมิให้นักโทษชายทักษิณ ทำร้ายประเทศไทยและยังขอความร่วมมือในการส่งตัวกลับมารับโทษทัณฑ์ในประเทศ ไทย จึงถือเป็นบุคคลอันตรายที่สุดในระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่?
แต่ ที่น่าจับตามากที่สุดในเวลานี้ กลับเป็นเรื่องผลประโยชน์อันมหาศาลในเรื่องปราสาทพระวิหาร พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนอธิปไตยของไทย  ๑.๕ ล้านไร่ ตลอดจนผลประโยชน์ทางพลังงานในพื้นที่อ่าวไทย ที่ฝ่ายกัมพูชากำลังรุกล้ำอย่างหนัก ซึ่งเชื่อว่า ไม่สามารถที่จะเจรจากับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ยินยอมในเรื่องเหล่านี้ได้
นายกษิต ภิรมย์ เป็นผู้เสนอทางออกเรื่องปราสาทพระวิหารว่า  ให้ทำหนังสือยกเลิกแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาส่งให้ประเทศกัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลกอัน เป็นที่มาของแถลงการณ์ในข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใน เวลาต่อมา ซึ่งถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าวช่างบังเอิญว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลังไม่ได้เป็นผู้เจรจากับนายฮุน เซน ในเรื่องปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ในอ่าวไทยอีกต่อไป แต่กลับเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ที่ไม่เจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารและการรุกล้ำอธิปไตยของไทย แต่กลับไปเจรจาอย่างขะมักเขม้นในเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทย ซึ่งดูเหมือนว่าจุดยืนจะไม่เหมือนกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ ตามคำสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ว่า:
         “คิด ว่าความรุนแรงบริเวณเขาพระวิหารจะลดระดับลง อย่าไปคิดว่าเขาพระวิหารจะต้องมีอะไรโต้แย้งกันระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะศาลโลกตัดสินมาตั้งหลายสิบปีแล้วว่าเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ก็มีส่วนอื่นๆ
        เป็น ความคิดที่เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับ นายนพดล ปัทมะ และนายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่ผิดเพี้ยน! ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังคงเน้นไมตรีระหว่างประเทศจนมองข้ามการเจรจาเรื่องอธิปไตยในพื้นที่รอบ ปราสาทพระวิหาร มุ่งเน้นการเจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงานในอ่าวไทยแทน ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกันกับรัฐบาลหุ่นเชิดเมื่อปีที่แล้ว
         ทำ ให้นึกถึงข่าวประจานของฝ่ายกัมพูชาที่ระบุว่า ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องปราสาทพระวิหารมาแลกเปลี่ยนปะปนกับผลประโยชน์ทาง ทะเล เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม  พ.ศ ๒๕๕๑ จากหนังสือพิมพ์เดอะ คอมโบเดีย เดลี (The Cambodia Daily)โดยระบุถึงคำให้สัมภาษณ์ของ นายจาม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของกัมพูชา ที่ให้สัมภาษณ์ความตอนหนึ่งว่า:
          “ฝ่าย ไทยเป็นฝ่ายที่พยายามโยงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหารเข้ากับผล ประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างการเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาไม่เห็นด้วย โดยที่พวกเขา (ไทย) ต้องการโยง ๒ เรื่องเข้าด้วยกัน ดังนั้น หากเราแก้ปัญหาเขาพระวิหาร เราก็ต้องแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนด้วย มันเป็นคนละเรื่องกัน ดูเหมือนว่าขณะนี้ฝ่ายไทยกำลังสร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมขึ้นมา ทำให้การแก้ไขปัญหายากขึ้น

3)  กรณี MOU43 ของรัฐบาล นายชวนหลีกภัยมีผลต่อการจัดการพื้นที่ชายแดนอย่างไร หากมีการนำมาใช้จะก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนในจังหวัดที่มีพื้นที่ ติดกับชายแดนไทยกับกัมพูชาอย่างไร
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัน พ.ศ. ๒๕๔๓ ว่า ต้องการให้คนที่มีความเข้าใจ และเกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวเป็นผู้พูด โดยเฉพาะ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
          สาเหตุที่มีการทำ MOU ดังกล่าว เพราะขณะนั้นมีข้อขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และทั้ง ๒ ฝ่าย พยายามหาข้อยุติร่วมกัน ในการปักปันเขตแดน โดยการปักปัน ก็เป็นไปตามกระบวนการที่ตกลงกันไว้ และแต่ละฝ่ายต้องไม่ละเมิดพื้นที่ จึงยืนยันได้ว่าการดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ
          “ผม คิดว่า ในระหว่างนี้ หลังจากมีการทำข้อตกลง มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ควรต้องลงไปดูในพื้นที่ และคุยกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย จะทำให้รู้เบื้องหลังบางเรื่อง ผมไม่ได้ทำอะไรให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ สมัยผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว ทุกอย่างทำเพื่อผลประโยชน์บ้านเมืองทั้งสิ้น และไม่คิดว่าเอ็มโอยู ปี ๔๓ กลายเป็นจำเลยของสังคม มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่คิดเช่นนี้" นายชวน กล่าว
กองทัพไม่ประมาท เตรียมพร้อมป้องอธิปไตย เชื่อเขมรไม่พอใจเลื่อนพิจารณา เขาพระวิหาร

4)  กรณี คนไทย ๗ คน ประกอบด้วย สส.พรรคประชาธิปัตย์  (นายพนิต)  ประชาชนหัวใจรักชาติ (นายวีระ สมความคิด นายแซมดิน  นายตายแน่  มุ่งมาจนและผู้ติดตามผู้หญิงอีก ๒ ท่าน) ร่วมกับสส.ไปตรวจพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในการแบ่งเขต พื้นที่ชายแดน และถูกทหารกับพูชากับจับหรือลักพาตัวไปขึ้นศาลประเทศกัมพูชาในฐานะที่นัก ศึกษาเรียนวิชาสังคม จะนำความรู้มาอธิบายให้นักเรียนของท่านได้รับรู้ข้อมูลอย่างไร  โปรดสรุปและแสดงความคิดเห็น
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานวันที่ ๗ ม.ค. โดยอ้างหนังสือพิมพ์พนมเปญ โพสต์ และสื่อท้องถิ่นของกัมพูชา ที่ระบุว่า กอย เกือง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ออกมาให้สัมภาษณ์โดยยืนยันว่า การพิจารณาคดี  ๗ คนไทยที่ถูกกล่าวหาว่ารุกล้ำดินแดนของกัมพูชานั้น ไม่มีความเกี่ยวข้อง และถือเป็น "คนละประเด็น" กับเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย
โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา เปิดเผยเรื่องดังกล่าวที่กรุงพนมเปญโดยยืนยันว่า กรณีของ  ๗ คนไทย ไม่ควรถูกนำมาโยงเป็นเรื่องเดียวกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนบ้านทั้ง ๒ประเทศ เพราะถือเป็นคนละประเด็นที่ต้อง"แยก" ออกจากกัน พร้อมย้ำว่า ในเวลานี้ต้องปล่อยให้ศาลเป็นผู้พิจารณาเท่านั้น โดยที่ฝ่ายอื่นยังไม่ควรเข้าไปก้าวล่วง
อย่าง ไรก็ดี โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะร้องขอให้มีการอภัยโทษแก่คนไทยทั้ง ๗ คนในภายหลัง หากศาลกัมพูชามีคำพิพากษาความผิดของทั้งหมดออกมาแล้ว
ทั้งนี้ ทางการกัมพูชายังไม่มีการกำหนดวันตัดสินคดีของทั้ง ๗ คน ไทยอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แต่หากศาลตัดสินว่าทั้งหมดมีความผิดจริงในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ก็อาจต้องรับโทษจำคุกในเรือนจำของกัมพูชาสูงสุดเฉพาะข้อหานี้เป็นเวลานานถึง ๑๘ เดือน